เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่ มื้อหน้าจะกินอะไรเผื่อลูกดีน้า กลัวลูกในท้องจะไม่แข็งแรง
เดือนที่ 1 แรกรู้ว่ามีหนู
* งดคาเฟอีน แอลกอฮอล์ กับน้ำอัดลม
* เลือกอาหารที่มีผักใบเขียว นม จะได้มีสารโฟเลตช่วยป้องกันสมองลูกจากความพิการ เช่น คะน้า บร็อกโคลี ผักกวางตุ้ง และผักใบเขียวมีโฟเลตสูง
* แป้ง ไขมัน โปรตีน ยังไม่จำเป็นมากนัก เดี๋ยวน้ำหนักจะเกินเปล่าๆ
เดือนที่ 2 เมื่ออาการแพ้ท้องมาเยือน
* กินทีละน้อยแต่กินบ่อย เลือกอาหารย่อยง่าย รับอาการแพ้ท้อง
เดือนที่ 1 แรกรู้ว่ามีหนู
* งดคาเฟอีน แอลกอฮอล์ กับน้ำอัดลม
* เลือกอาหารที่มีผักใบเขียว นม จะได้มีสารโฟเลตช่วยป้องกันสมองลูกจากความพิการ เช่น คะน้า บร็อกโคลี ผักกวางตุ้ง และผักใบเขียวมีโฟเลตสูง
* แป้ง ไขมัน โปรตีน ยังไม่จำเป็นมากนัก เดี๋ยวน้ำหนักจะเกินเปล่าๆ
เดือนที่ 2 เมื่ออาการแพ้ท้องมาเยือน
* กินทีละน้อยแต่กินบ่อย เลือกอาหารย่อยง่าย รับอาการแพ้ท้อง
* อาหารที่มีวิตามินบี 6 ช่วยบรรเทาอาการโอ้กอ้ากได้ เช่นเนื้อสัตว์ ข้าวซ้อมมือ กล้วย ธัญพืช มีวิตามินบี 6 สูง
เดือนที่ 3 ท้องขยายเพิ่มขึ้นทุกวัน
* อย่างนี้ต้องเติมสารแอนติออกซิแดนซ์ให้ผิวยืดหยุ่น ไว้รับมือกับสรีระที่กำลังเปลี่ยน ส้ม มะเขือเทศ แครอต ฟักทอง กล้วย มีสารแอนติออกซิแดนซ์สูง
* เริ่มกินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด ได้วิตามินครบและท้องไม่ผูก
ไตรมาส 2..แม่ต้องกินเพื่อลูกในท้อง
เข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่คงคลายอาการแพ้ท้องและกินอาหารได้มากขึ้นกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องกินกันต่อนะคะ เพราะเป็นช่วงที่เจ้าตัวน้อยในท้องสร้างอวัยวะสำคัญๆ ครบแล้ว และกำลังแบ่งเซลล์เพื่อให้อวัยวะต่างๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นค่ะ
แคลเซียม เพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟันของลูกน้อย ซึ่งก็ควรจะได้วันละ 800-1,200 มิลลิกรัม เพราะหากได้รับไม่เพียงพอ ลูกก็จะดึงเอาจากร่างกายคุณแม่ที่สะสมไว้ จนอาจทำให้คุณแม่เป็นโรคกระดูกพรุนได้ในระยะยาว
อาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม โยเกิร์ต ไข่ ถั่วเหลือง บร็อคโคลี่ ปลาเล็กปลาน้อย ชีส
ธาตุเหล็ก เพื่อนำไปสร้างเม็ดเลือดแดงไว้พาออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย สำหรับทั้งคุณแม่และคุณลูกอีกเช่นกัน ควรจะกินวันละ 14.8-30 มิลลิกรัม แต่ถ้าคุณหมอเห็นว่าท่าทางคุณแม่จะได้รับธาตุเหล็กไม่พอแน่ ก็จะให้ธาตุเหล็กชนิดเม็ดเสริมค่ะ
อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ผักโขม ตับ ไข่แดง เนื้อแดง หอย ปลาทะเล ฟักทอง สาหร่ายทะเล งาดำ มะเขือพวง บวบเหลี่ยม
ผักและผลไม้ ที่ขาดหมวดนี้ไม่ได้ ก็เพราะคุณจำเป็นต้องได้รับวิตามินและเกลือแร่อื่นๆ ด้วยไงล่ะ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการดูดซึมธาตุเหล็ก ที่ต้องอาศัยการทำงานของคู่ขาปาท่องโก๋อย่างวิตามินซีร่วมด้วย แคลเซียมต้องจับคู่ทำงานกับฟอสฟอรัส แถมกากใยอาหารยังช่วยเรื่องขับถ่ายของคุณได้ด้วยนะคะ
ผักและผลไม้ที่มีคุณค่าน่าจะลิ้มลอง เช่น แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย สับปะรด ถั่วงอก ถั่วลันเตา เห็ดสด แตงกวา
ที่มา http://www.momypedia.com/ ,http://www.dumex.co.th/
แคลเซียม เพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟันของลูกน้อย ซึ่งก็ควรจะได้วันละ 800-1,200 มิลลิกรัม เพราะหากได้รับไม่เพียงพอ ลูกก็จะดึงเอาจากร่างกายคุณแม่ที่สะสมไว้ จนอาจทำให้คุณแม่เป็นโรคกระดูกพรุนได้ในระยะยาว
อาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม โยเกิร์ต ไข่ ถั่วเหลือง บร็อคโคลี่ ปลาเล็กปลาน้อย ชีส
ธาตุเหล็ก เพื่อนำไปสร้างเม็ดเลือดแดงไว้พาออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย สำหรับทั้งคุณแม่และคุณลูกอีกเช่นกัน ควรจะกินวันละ 14.8-30 มิลลิกรัม แต่ถ้าคุณหมอเห็นว่าท่าทางคุณแม่จะได้รับธาตุเหล็กไม่พอแน่ ก็จะให้ธาตุเหล็กชนิดเม็ดเสริมค่ะ
อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ผักโขม ตับ ไข่แดง เนื้อแดง หอย ปลาทะเล ฟักทอง สาหร่ายทะเล งาดำ มะเขือพวง บวบเหลี่ยม
ผักและผลไม้ ที่ขาดหมวดนี้ไม่ได้ ก็เพราะคุณจำเป็นต้องได้รับวิตามินและเกลือแร่อื่นๆ ด้วยไงล่ะ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการดูดซึมธาตุเหล็ก ที่ต้องอาศัยการทำงานของคู่ขาปาท่องโก๋อย่างวิตามินซีร่วมด้วย แคลเซียมต้องจับคู่ทำงานกับฟอสฟอรัส แถมกากใยอาหารยังช่วยเรื่องขับถ่ายของคุณได้ด้วยนะคะ
ผักและผลไม้ที่มีคุณค่าน่าจะลิ้มลอง เช่น แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย สับปะรด ถั่วงอก ถั่วลันเตา เห็ดสด แตงกวา
ที่มา http://www.momypedia.com/ ,http://www.dumex.co.th/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น